Category: (9)

1584420426
แม้สภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบันไม่สดใส แต่นับว่าเป็นปีที่น่าสนใจ สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว

ทั้งนี้ นางสาวสุวรรณี มหณรงค์ชัย รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนากลยุทธ์และบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ไทย ระบุว่าเพราะราคาโปรดักต์ออกใหม่ถูกลง-เข้าถึงได้ ส่งผลต่อโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ทั้งในแง่การเพิ่มขึ้นของส่วนต่างราคาในอนาคต ตลอดจนรายได้จากค่าเช่าในทำเลศักยภาพที่มีการเติบโต

“แม้ภาวะตลาดจะซบเซา แต่ตลาดเช่ายังคงเติบโตให้ผลตอบแทนดี โดยเฉพาะคอนโดฯ โดยกรุงเทพฯชั้นใน มีผลตอบแทนการปล่อยเช่าเฉลี่ย 4% กรุงเทพฯชั้นกลาง 3.3% ส่วนกรุงเทพฯชั้นนอก 4.1% เพราะชั้นนอกคอนโดฯมีราคาถูกกว่าในเมือง 30-40% ทำให้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง”

 

 

อย่างไรก็ตาม การลงทุนอาจต้องพิจารณาถึงจำนวนซัพพลายใหม่ที่จะเกิดในอนาคต ศักยภาพการเติบโตในพื้นที่ กำลังซื้อของผู้บริโภค ซึ่งหากพื้นที่มีจำนวนซัพพลายที่มากเกินไป ขณะที่ดีมานด์ยังอยู่ในวงจำกัดจะส่งผลต่อระดับราคาและผลตอบแทนที่อาจลดลงได้

จากการประเมินของนักวิเคราะห์ในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ระบุจำนวนหน่วยคอนโดมิเนียมในปีนี้มียอดสะสมรอระบายกว่า 2 แสนหน่วย แม้แทบทุกค่ายจะลดการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่การขายยอมรับว่าสต๊อกเก่าค่อนข้าง “หนืด” ทางออกหลายโครงการอาจเปลี่ยนจากขายเป็นเช่า

 

ทั้งนี้ นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอมแอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom) บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ กรุ๊ป ประเมินว่าปีนี้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ เน้นนำโครงการเก่าออกขายให้ได้มากที่สุด แต่จะมีเปิดตัวโครงการใหม่บ้าง ไม่เกิน 60,000 หน่วยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล

 

หน้า 18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,558 วันที่ 19-21 มีนาคม 2563

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อน กับ LINE @thansettakij

1584684283
พีดีเฮ้าส์เผยยอดจองสร้างบ้านในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา(ม.ค.-ก.พ.) ยังคงเป็นไปตามแผนโดยกวาดยอดจองแตะ 200 ล้านบาท เล็งจัดงาน “รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์แฟร์ ครั้งที่ 1” เอาใจผู้บริโภคนายพิศาล  ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด ภายใต้แบรนด์ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์  เปิดเผยว่า แม้สถานการณ์ของไวรัสโควิด -19 จะส่งผลกระทบต่อหลายธุรกิจเป็นวงกว้าง หลายธุรกิจเกิดการชะงักงันหรือหนักสุดอาจถึงขั้นหยุดดำเนินการ แต่ในส่วนของธุรกิจรับสร้างบ้านเอง แม้ภาพรวมอาจได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากลูกค้ามีการวางแผนปลูกสร้างบ้านไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่หากสถานการณ์ของไวรัสโควิด -19 ยืดเยื้อก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบรุนแรงครั้งนี้อย่างแน่นอน

ช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.พ.) พีดีเฮ้าส์มียอดจองแล้วเกือบ 200 ล้านบาท หรือนับเป็นจำนวนเกือบ 50 หน่วย ถือว่าทำยอดขายรวมสวนกระแสปัจจัยลบรอบด้าน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลูกค้ามีการวางแผนออมเงินสำหรับปลูกสร้างบ้านไว้แล้ว จึงพร้อมที่จะใช้จ่ายเงินกับเรื่องที่อยู่อาศัย โดยมิได้กังวลกับปัจจัยภายนอก รวมถึงผู้บริโภคเองต้องการปลูกสร้างบ้านกับบริษัทรับสร้างบ้านมืออาชีพ มีผลงานคุณภาพมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ โดยเฉพาะลูกค้าจากต่างจังหวัด ได้หันมาใช้บริการกับบริษัทรับสร้างบ้านมากขึ้น ซึ่งพีดีเฮ้าส์เองมีสาขารองรับอยู่ทั่วทุกภูมิภาคอยู่แล้ว ทำให้ตัวเลขยอดจองของบริษัทฯ ขยายตัวและสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดในพื้นที่ต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในครึ่งปีแรกนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดจองสร้างบ้านไว้ 400-500 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามในปี 2563 นี้พีดีเฮ้าส์เองยังคงจับตามองดูสถานการณ์ของเศรษฐกิจภายในประเทศและการระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้ก็คงต้องมีการปรับแผนรับมือให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยในช่วงปลายไตรมาสแรกต่อเนื่องต้นไตรมาส 2 ปีนี้ พีดีเฮ้าส์จะเน้นเรื่องของข้อมูลข่าวสารที่ส่งตรงถึงลูกค้าผ่านการโฆษณาและประชาสัมพันธ์สื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียในหลาย ๆ ช่องทาง อาทิ Google Facebook Instagram Twitter ฯลฯ และเน้นให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังเพิ่มความต่อเนื่องในเรื่องกิจกรรมทางการตลาด โดยเตรียมจัดงาน “รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์แฟร์ ครั้งที่1”  ขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 18 – 31 มีนาคม 2563 นี้ เพื่อตอบรับมาตรการลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่มีความต้องการปลูกสร้างบ้านหลังใหม่ ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยบริษัทฯ จะจัดงานพร้อมกัน ณ ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ทั้ง 24 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการสร้างบ้านมากกว่า 50 จังหวัด

นางสาวถิรพร สุวรรณสุต กรรมการบริหารสายงานการตลาด บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้บริหารสิทธิ์แฟรนไชส์ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า  “จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บริษัทฯ จึงต้องปรับกิจกรรมทางการตลาดให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่อความสะดวกของผู้บริโภคโดยเน้นใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ ควบคู่ไปกับการจัดอีเว้นท์พร้อมกันทุกสาขาของศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ในทุกภูมิภาค โดยล่าสุดได้จัดแคมเปญ “มีนาต้องมีโปร@รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์แฟร์” หรือ PD House on Sale@ PD House Fair ยกทัพแบบบ้านสวยในฝันและแบบบ้านขายดี รวมทั้งแบบบ้านซีรีย์ใหม่ Modern Mediterranean และ Modern Farmhouse Style รวมกว่า 200 แบบ ซึ่งแคมเปญนี้จะมอบรับส่วนลดเงินสดสูงสุด 1,000,000 บาท  บัตรกำนัลแทนเงินสดค่าออกแบบตกแต่งภายในสูงสุด 200,000 บาท, ครื่องปรับอากาศทั้งหลัง มูลค่าสูงสุด 100,000 บาท, พร้อมอัพเกรดวัสดุคุณภาพ สำหรับลูกค้าที่จองปลูกสร้างบ้านกับศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคมนี้ โดยคาดการณ์จะมียอดจองรวมจากแคมเปญนี้ 100-150 ล้านบาท

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อน กับ LINE @thansettakij

1584102005
“เมเจอร์“ อัดแคมเปญโค้งท้าย 8 คอนโดฯ ฮอตกลางใจเมือง-ใกล้รถไฟฟ้า ราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท จัดโปร ”LAST CHANCE!! LUCKY NO.9” ส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2 แสนบาท วันนี้-31 มีนาคม นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทนำ8 โครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ราคา 2.9 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพ ใจกลางเมือง ใกล้รถไฟฟ้า จัดแคมเปญ LAST CHANCE!! LUCKY NO.9 ฟรี! โปรโมชันกว่า 9 รายการต่อเนื่อง หลังประสบความสำเร็จจากแคมเปญดังกล่าวจากบิ๊กอีเวนต์ บริเวณเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ที่ผ่านมา ล่าสุดชวนคว้าโอกาสสุดท้ายอีกครั้ง ที่จะได้เลือกซื้อคอนโดฯใจกลางเมืองใกล้รถไฟฟ้ากับแคมเปญ ด้วยฟรีค่าโอนฯ, ส่วนกลาง, เงินกองทุน, ประกันและติดตั้งมิเตอร์ไฟ, บัตรกำนัลเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า, ที่พักสุดชิก, IPhone 11

สำหรับ 8 คอนโดมิเนียมที่นำออกขาย ได้แก่ เอ็ม จตุจักร ใกล้ BTS หมอชิต และ สะพานควาย, MRT จตุจักร และ กำแพงเพชร, มาเอสโตร 19 รัชดา19-วิภาฯ ทำเลใจกลางรัชดาฯ ใกล้ MRT สถานีรัชดาภิเษก เข้าออกได้ 3 เส้นทางหลัก ถ.รัชดาภิเษก, ถ.วิภาวดีรังสิต และถ.ลาดพร้าว มาเอสโตร 03 รัชดา-พระราม 9 ใกล้ MRT สถานีพระราม 9, สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ แอร์พอร์ตลิงค์ สถานีมักกะสัน และใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนพิเศษศรีรัช ใช้ชีวิตสะดวกใกล้เซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9 และศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์, มาเอสโตร 14 สยาม -ราชเทวี สถานีเดียวถึงสยาม ใกล้เตรียมอุดม, ใกล้จุฬาฯ เพียง 4 นาทีสู่สยามดิสคัฟเวอรี่, เมทริส พระราม 9-รามคำแหง ติดถ.พระราม 9 และรามคำแหง ใกล้ MRT รามคำแหง 12 เพียง 300 เมตร, ใกล้แอร์พอร์ตลิงค์ รามคำแหง, เมทริส พัฒนาการ-เอกมัย ตั้งอยู่บนถนนพัฒนาการ ใกล้ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ เพียง 10 นาทีสู่ทองหล่อ-เอกมัย, เอ็ม ทองหล่อ 10 
ใกล้ BTS ทองหล่อ, มาเอสโตร 01 สาทร-เย็นอากาศ ใกล้ BTS ศาลาแดง และ MRT ลุมพินี

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

นอกจากนี้ ระหว่าง วันที่ 21-22 มีนาคม บริษัทเพิ่มข้อเสนอสุดพิเศษ ลุ้นรับส่วนลด On Top สูงสุดถึง 200,000 บาทในงาน Event ที่ Sales Gallery สำหรับ 6 โครงการบนทำเลยอดฮิต ได้แก่ เอ็ม จตุจักร, มาเอสโตร19 รัชดา19-วิภา, มาเอสโตร 03 รัชดา-พระราม 9, มาเอสโตร 14 สยาม-ราชเทวี, เมทริส พระราม 9-รามคำแหง และเมทริส พัฒนาการ-เอกมัย อีกด้วย

“ตลาดอสังหาฯ ปีนี้ยังคงเติบโต แต่ไม่ได้หวือหวามากนัก เรามั่นใจ ยังมีเรียลดีมานด์ ความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง ดังนั้น เราจึงมุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพโครงการ และโปรดักต์พรีเมียมให้สอดคล้องกับเทรนด์ความต้องการ ทำให้ลูกค้ากล้าตัดสินใจ
อย่างแน่นอน”

หน้า 19-20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,557 วันที่ 15-18 มีนาคม 2563

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อน กับ LINE @thansettakij

1583900016
ผ่ามุมคิด

ท่ามกลางบรรยากาศตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่เป็นใจ หลายดีเวลอปเปอร์ไทยถอดใจ พยายามไม่เปิดโครงการใหม่ และหันไปเคลียร์สต๊อกเก่า อัดโปรฯ ขายคล่องแทน ขณะกลุ่มทุนยักษ์ต่างชาติ สัญชาติฮ่องกงอย่าง “ริสแลนด์ ประเทศไทย” กล้าสวนกระแส เดินหน้าขยายอาณาจักรทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง หวังไทยเป็นฮับการลงทุนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่าน 4 โปรเจ็กต์ใหญ่ ปี 2563 มูลค่ารวมมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท นายเนี่ย ซงเซียน หัวเรือใหญ่บริษัท ประจำภูมิภาคไทย ระบุแม้ตลาดอสังหาฯไทย ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน แต่ยังมั่นใจกำลังซื้อในประเทศระยะยาว จับจังหวะวิกฤติไวรัส เป็นโอกาส ลุยสร้างตัวตน ภายใต้เป้าหมาย ขึ้นติด Top 3 ในกลุ่มทุนต่างชาติ วางกลยุทธ์ปีเสี่ยง “ล้มเร็ว ลุกเร็ว ลุยแล้ว ลุยให้สุด”

 

ไม่กลัวความเสี่ยง

ยอมรับว่าสถานการณ์ตลาดอสังหาฯไทยในปีนี้ กำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ตั้งแต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ค่าเงินบาทแข็งต่อเนื่อง และล่าสุดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิค-19) ยิ่งซํ้าเติมบรรยากาศที่ซบเซาอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้มีความเสี่ยงต่อการทำธุรกิจ และทำการตลาดไม่น้อย แต่แม้บริษัทมองจังหวะนี้เป็นอุปสรรคอยู่บ้าง ก็ไม่ได้กังวลใจมากนัก ภายใต้หลักคิด “ต้องก้าวผ่านไปให้ได้” ยกเว้นการจัดอีเวนต์ ลดการขายตรง รวมตัว เผชิญหน้าของคนหมู่มาก และหันไปให้ความสำคัญกับการตลาดแบบ online booking แทน อย่างไรก็ตาม พบลูกค้ายังเข้าไปติดต่อ จอง-ซื้อ ณ โครงการเป็นปกติ จึงเลือกที่จะลุยต่อ ผ่านการเตรียมเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่ารวม 3.04 หมื่นล้านบาท รวม 5,960 หน่วย ได้แก่ ทำเลสุขุมวิท,รามคำแหง, หัวเมืองใหญ่อย่างภูเก็ต

 

เนี่ย ซงเซียน

 

พลิกวิกฤติเป็นโอกาส

แผนดำเนินธุรกิจดังกล่าว เป็นไปภายใต้ความกล้า เพราะมองว่าตลาดไทยยังมีโอกาส และถือเป็นจังหวะดีของกลุ่มทุนต่างชาติ 100% อย่าง ริสแลนด์ เนื่องจากช่วง 3 ปีที่เข้ามาลงทุน บริษัทกดดันจากการต้องซื้อ-หาที่ดินในราคาที่แพงกว่าผู้พัฒนาของไทย แต่ขณะนี้ตลาดซบเซา ทำให้ผู้พัฒนาเจ้าใหญ่ ชะลอการลงทุนกันไปมาก ทั้งยังมีที่ดินราคาเหมาะสมในตลาดให้เลือกสรร จึงอาศัยความแข็งแกร่งทางการเงินที่มี เก็บแลนด์แบงก์เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต และมั่นใจว่าความแข็งแกร่งดังกล่าวจะประคองตัวเองได้ดีจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย อีกทั้งช่วงเวลานี้ ถือเป็นจังหวะลุยการทำตลาด และขายได้อย่างเต็มที่อีกด้วย เพราะคาดว่าซัพพลายใหม่จะหายไปค่อนข้างมาก ชูจุดเด่นเรื่องราคา ที่ทำได้ตํ่ากว่าท้องตลาด เอื้อมถึงได้ เนื่องจากบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้ดี เช่น บิ๊กโปรเจ็กต์ ย่านสุขุมวิท 64 ราคาที่เปิดตัวจะตํ่ากว่าท้องตลาดนับ 20% เป็นการลองผิดลองถูก เพราะไม่ต้องการเกิดภาพ ขายแพง ขายยาก เช่นในปัจจุบัน

“ขณะนี้หลายคนหยุด แต่เราเลือกจะลุยต่อ จับโอกาสช่วงที่ทุกคนกลัวเสี่ยง อยู่กันแบบเงียบๆ น่าจะวิ่งได้เร็ว อาศัยจุดเด่นเรื่อง ทำเลดี เช่น โซนสุขุมวิท รามคำแหง ที่การคมนาคมสะดวก อัตราดูดซับยังดี”

 

top3 กลุ่มทุนต่างชาติ

นายเนี่ย ยังกล่าวว่า จังหวะความเงียบของตลาดขณะนี้ หากบริษัททำได้ดี มีภาพชัดเจนขึ้น จะนับเป็นโอกาสสร้างการเติบโตระยะยาวของบริษัทด้วย เนื่องจากต้องการเข้ามาลงทุนในระยะยาว ไม่ใช่ระยะสั้น ตอกย้ำ 3 ปีที่ผ่านมาในไทย (ปี 2560-2563) ลงทุนแล้ว 8 โครงการ มูลค่า 5.13 หมื่นล้านบาท รวม 10,610 หน่วย ซึ่งเป็นจำนวนหน่วย และมูลค่ามหาศาลที่พอจะทำให้ติดอันดับ TOP 3 ในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติอสังหาฯในไทย

 

หน้า 19-20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,556 วันที่ 12-14 มีนาคม 2563

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อน กับ LINE @thansettakij

1583749166
แมทช์ไทม์ พร็อพเพอร์ตี้ฯ ที่ปรึกษาธุรกิจอสังหาฯแนะผู้ประกอบการรายเล็ก คุมเข้มสภาพคล่อง อัดกิจกรรมตลาดต่อเนื่อง สร้างเชื่อมั่นลูกค้า มองบวกเชื้อร้ายไวรัสจบภายในครึ่งปีแรก ครึ่งปีหลังรัฐบาลเดินหน้าลุยใช้งบประมาณ นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมทไทม์ พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด ที่ปรึกษาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ วิเคราะห์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยว่า ปีนี้ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบทั่วหน้า แต่บริษัทใหญ่ไม่หนักเท่ารายเล็ก เพราะเงินทุนหนากว่า อย่างไรก็ตาม ก็ยังเห็นการปรับตัว จากที่เคยบุกตลาดคอนโดมิเนียมมากๆ ก็หันมาทำตลาดบ้านแนวราบเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างสมดุลและลดความเสี่ยง ส่วนบริษัทขนาดกลางในตลาดหุ้น ที่บุกตลาดคอนโดมิเนียมเป็นหลัก ก็ต้องเร่งระบายสต๊อคในมือที่มีจำนวนมาก ด้านรายเล็กเป็นสถานการณ์ท้าทาย

“ถึงแม้ตลาดที่อยู่อาศัยจะลดความร้อนแรง แต่ยังมีนักธุรกิจจานอกภาคอสังหาฯ ที่มีเงินทุน มีความสนใจอยากจะลงทุนในธุรกิจนี้มีหลายราย พราะมองว่าการระบาดของไวรัสโควิด 19 เป็นสถานการณ์ชั่วคราว ไม่นานก็จบ”

ดังนั้น นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ควรคำนึง 5 ปัจจัยหลัก 1. บริหารงานโดยคำนึงสภาพคล่อง หารายได้/รายรับ ให้พร้อมกับค่าใช้จ่าย บริหารและจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้กับธนาคาร 2. ไม่ลดพนักงาน ส่งเสริมให้กำลังใจ ฝึกทักษะกันไป 3. ยังคงทำกิจกรรมการตลาด สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่มาซื้อบ้านว่าช่วงนี้คุ้มค่า พร้อมให้บริการลูกค้าแบบ all services

4. รอจีนกลับมา จากเหตุการณ์ไวรัสโควิด 19 มีคนจีนอาจหาบ้านพักเป็นหลังที่สอง เพราะแพทย์ไทยมีฝีมือและดูแลเอาใจใส่ผู้ป่วยอย่างดี และคนไทยก็มีอัธยาศัยที่ดี นอกจากนี้ไทยเป็นเมืองร้อน เชื้อไวรัสไม่เติบโต สถานการณ์เหมือนน้ำท่วมใหญ่ในไทยเมื่อปี 2554  โครงการต่างจังหวัดที่ผมเคยบุกเบิก  มีลูกค้าคน กทม. มาซื้อเป็นหลังที่สอง ดังนั้น จึงหวังว่าลูกค้าคนจีนจะกลับมาซื้อบ้านในไทยอีกครั้ง

5. วางเป้าหมายการตลาดและกลุ่มลูกค้าให้ชัดเจน แบ่งโครงการเป็นเฟส กำหนดแผนเดินหน้า ถอยหลังได้ มีแผน A แผน B คือ แผนสำรอง สมัยน้ำท่วมหรือสงครามเสื้อสีปิดถนน บริษัทอสังหาฯยังบริหารจัดการได้เลย

“ผมผ่านวิกฤตมาหลายรอบ มองว่ายังมีโอกาสอยู่ เพราะเชื่อว่าโรคโควิด 19 การระบาดน่าจะจบภายในไตรมาส 2 ก็จบ  อีกประการ รัฐบาลไทยก็จะเริ่มใช้งบในไตรมาส 2 เช่นกัน และในครึ่งปีหลังทุกประเทศเริ่มปรับตัว เริ่มเดินเครื่องลงทุนอีกครั้ง ดังนั้นเราต้องเดินหน้าต่อให้ได้ ทำทุกอย่างรอบคอบ ก้าวเดินช้าไปบ้าง แต่ก็ถึงเป้าหมาย” นายไพโรจน์กล่าว

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อน กับ LINE @thansettakij

1583483108
ท่ามกลางปัจจัยกดดันต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2562 ทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ทรงตัวในระดับสูง นำไปสู่การปฏิเสธสินเชื่อรายย่อยมากขึ้น สัญญาณการเก็งกำไรในตลาดอสังหาริิมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ต้องออกมาตรการเข้มด้วยการกำหนดเพดานมูลค่าสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน หรือ LTV ขึ้น ส่งผลกระทบต่อโครงการที่อยู่ระหว่างการเปิดขายโดยเฉพาะคอนโดมิเนียม แต่สำหรับบริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด(มหาชน) หรือ KUN หุ้นน้องใหม่ที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว กลับมีรายได้เพิ่มขึ้น 46% และกำไรสุทธิเติบโตถึง 390%

นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  KUN เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ที่จริงทั้งรายได้และกำไร เราได้มากกว่าที่ประกาศไปมาก แต่ด้วยมาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9 มีการปรับบางรายการ เช่น ค่าโปรโมชันต่างๆ งานสาธารณูปโภคที่ไม่เสร็จ ไม่สามารถลงเป็นรายได้ได้ จึงทำให้รายได้รวมเหลือเพียง 652 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 56 ล้านบาท แต่จากนี้ไปเราวางเป้าหมายรายได้เติบโตปีละ 2 หลัก เพราะหนึ่งในเป้าหมายของเราคือจะโต 3 ปี 100% ให้ประสบผลสำเร็จให้ได้ ซึ่งช่วงปี 2561-2562 ทำได้ 40% แล้ว จึงเหลือปี 2563-2565 ที่จะต้องทำให้ได้ 100% ซึ่งขณะนี้ก็มั่นใจมากขึ้น

ถ้ามองย้อนไป 3-4 ปี รายได้เราเติบโตได้ดีจาก 300 ล้านบาท มาเป็น 450 ล้านบาท แต่มาชะงักในช่วงปี 2561 เพราะเราไปขายบ้านทาวน์เฮาส์ และเจอการกู้ไม่ผ่านเยอะมาก จากการควบคุมสินเชื่อของธปท. และเราเจอเรื่องกระแสเงินสด เพราะไปซื้อที่ดินเพิ่มอีก 1 แปลงด้วย ทำให้การเปิดโครงการใหม่ต้องเลือกระหว่าง การจะอัดไปมากๆ เพื่อที่จะสวนกระแส หรือเราจะค่อยๆทยอย แต่จากประสบการณ์ ถ้าเราเร่งก่อสร้างมากจนเกินไปเม็ดเงินที่เรามีอยู่ในตอนนั้น และเรายังไม่ได้ระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจจะเกิดปัญหาได้ เราจึงชะลอเรื่องการเปิดโครงการใหม่ออกไป และหันมาเน้นจัดการโครงการเก่า ทำให้รายได้ปี 2561 เติบโตไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 10%

ประวีรัตน์ เทวอักษร

ประวีรัตน์ เทวอักษร

 

“แม้รายได้ไม่เป็นไปตามเป้าในปี 2561 แต่ก็มีกำไร และเราประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ ประสบความสำเร็จในการเปิดทาวน์เฮาส์เข้าไปในตลาดฯ ซึ่งเราไม่เคยทำมาก่อน พอเราจัดการการเงินในปี 2561 มีการทำ Bridge Loan ทำให้ความสำเร็จส่งต่อมาในปี 2562 และน่าจะโตต่อเนื่องในปีนี้ สร้างความแข็งแรงของการเติบโตที่แท้จริงให้กับบริษัท”

 

สำหรับแผนงานของเราชัดเจนมากว่า พื้นที่โครงการของเราจะอยู่ 4 ทิศรอบกรุงเทพ มหานคร ที่ทำไปแล้วคือที่บางบัวทอง ซึ่งเป็นโครงการต้นแบบคือ ทิศตะวันตก และที่เปิดไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วคือ ทิศตะวันออก คือ ฉะเชิงเทรา ถือว่าเข้าที่เข้าทางแล้วเดือนที่ผ่านมา โอนไป กว่า 10 หลังแล้ว เดือนนี้ขายได้อีก 7-8 หลังเป็นยอดสูงทำสถิติท่ามกลางปัจจัยกดดันต่างๆ ในปี 2563 ตั้งเป้าจะเปิดทิศที่ 3 ให้ได้ ซึ่งไม่ทิศใต้ก็ทิศเหนือ และอยากให้เห็นว่าเราซื้อที่ดินครบทั้ง 4 ทิศภายในปีนี้ แต่จะเปิดขายเมื่อไหร่ ก็คงต้องดูจังหวะอีกที

ถามว่า ทำไมเราเลือกพื้นที่โครงการเป็นขอบกรุงเทพ มหานคร เป็นเขตปริมณฑล เพราะถ้ามองในเชิงธุรกิจในอนาคต อะไรที่ Mass มากๆ จะขายไม่ค่อยได้ จึงเลือกตลาดที่เฉพาะเจาะจง และหากต้องการเติบโตไปอีก 10 ปี จะหาจากลูกค้ากลุ่มไหน จึงเลือกฐานลูกค้าที่ต้องการบ้าน 2-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นฐานใหญ่ และการจะสร้างบ้านมูลค่า 2-5 ล้านบาทได้ต้นทุนราคาที่ดินต้องไม่แพงจนเกินไป ดังนั้นเมื่อนำ 2 เรื่องมารวมกันเราจึงปักธงที่จะอยู่บริเวณปริมณฑลของกรุงเทพฯ และยังเป็นความชอบส่วนตัวที่ต้องการบ้านที่มีพื้นที่่กว้างๆ ถ้าโชคดีมีโอกาสได้ทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและ match กับความชอบส่วนตัว จะเป็นกำลังใจที่ทำ
ให้เราสามารถที่จะอยู่ในธุรกิจนี้ได้ คำว่า สุขใจอยู่บ้านชานเมือง เป็นประเด็นที่ทำให้บริษัทนี้เติบโตได้

 

“รัตน์เข้ามาทำธุรกิจช่วงวิกฤติปี 2540  คุณพ่อดร.ปกรณ์ ศังขวณิช ทำโครงการบ้านคุณาลัยภายใต้บริษัท อาร์.เอ็ม.พร็อพเพอร์ตี้  จำกัด เจอปัญหามีหนี้กว่า 5 พันล้านบาท เราเข้ามาจัดการ ทำให้เห็นเสน่ห์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ว่า มันเป็น Real Asset ที่ซื้อมาแล้วเป็นที่ดิน อาจเปลี่ยนมือช้ากว่าเงินสด แต่ที่ดินในไทยช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ราคามีแต่จะเพิ่มขึ้น มากน้อยแล้วแต่พื้นที่ ดังนั้นจึงเป็นทรัพย์ที่จับต้องได้ ครอบครัวเรารอดจากวิกฤติก็เพราะเราเป็นอสังหา ริมทรัพย์ มีเวลา พอปีที่ 10 หลังเกิดวิกฤติคือปี 2550 ทรัพย์ทั้งหลายมูลค่าโตกว่าหนี้ ทำให้สามารถใช้หนี้ได้จนหมด และยังเอามาทำธุรกิจหล่อเลี้ยงครอบครัวเราได้”

หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,555 วันที่ 8-11 มีนาคม 2563

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อน กับ LINE @thansettakij

1583303337
เสนาดีเวลลอปเม้นท์มองตลาดอสังหาเป็นช่วงขาลงหลังโดนปัจจัยหลายด้านรุมเร้า ลุยจัดโปรปิดตึกล็อตสุดท้ายทุ่มส่วนลดสูงสุด25% หวังเร่งกำลังซื้อไตรมาสแรก SENA ผศ.ดร.เกษรา  ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) ประเมินภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาส 1/2563 จากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกโดยเฉพาะไวรัสโควิด-19 ทำให้บรรยากาศการทำธุรกิจไม่ค่อยสดใสราบรื่นเท่าที่ควร เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนไปชั่วขณะ  แต่อย่างไรดีมองว่าตลาดอยู่ในช่วงขาลงแต่ยังถือว่าเป็นโอกาสที่ดีผู้ซื้อที่มีความพร้อมและมีความสามารถในการใช้จ่ายและต้องการที่อยู่อาศัยเนื่องจากมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ และอัตราดอกเบี้ยต่ำเอื้อต่อการซื้ออสังหาฯประกอบกับเป็นช่วงที่ดีเวลลอปเปอร์ส่วนใหญ่แข่งขันกันทำโปรโมชั่นและส่วนลดเพื่อเร่งการตัดสินใจซื้อในช่วงนี้

ทั้งนี้  ล่าสุด ทางเสนา รวบรวม7 คอนโดพร้อมอยู่บน 6 ทำเลศักยภาพที่คัดสรรมาอย่างดีเพื่อจัดแคมเปญพิเศษ “โปรปิดตึกกับยูนิตล็อตสุดท้าย” มอบโปรโมชั่นอย่าจุใจรับส่วนลดสูงสุด 25% ผ่อนราคาเบาๆ เพียงล้านละ 2,800 บาท/เดือน  เริ่มตั้งแต่วันนี้ – 10 เมษายน 2563 ประกอบด้วยโครงการ ดังนี้  Niche MONO Peak บางนา คอนโด Low Rise 7 ชั้นตั้งอยู่ระหว่างซอยบางนา-ตราด 40 และ 42 ใกล้เซ็นทรัลบางนา เป็นโครงการ LowRise ที่พีคสมชื่อกับการให้ที่จอดรถเกิน 100%ใช้โซลาร์เซลล์ในการประหยัดค่าส่วนกลาง มี EV CHARGER ที่ชาร์จรถที่ใช้ไฟฟ้ามาให้และส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตเพียง 42     ยูนิตห้องตกแต่งพิเศษ เพียง 3 ยูนิตสุดท้าย พิเศษเริ่ม 3.7 ล้านบาท

Niche MONO รัชวิภา คอนโด High Rise 2 อาคารสูง 27 ชั้น ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่รัชดาภิเษก ใกล้แยกประชานุกูลและทางด่วน วิวดี 360องศา เพียง 15 ยูนิตสุดท้าย พิเศษเริ่ม 2 ล้านบาท  Niche ID พระราม 2 คอนโด Low Rise 8 ชั้น ติดถนนใหญ่ถนนพระราม2 ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนดาวคะนอง ห้องกว้างกั้นเป็นสัดส่วนพร้อมเฟอร์ฯ เพียง 22ยูนิตสุดท้าย พิเศษเริ่ม 1.59 ล้านบาท  Niche ID สุขุมวิท 113 คอนโด Low Rise 8 ชั้นตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 113 ใกล้ห้างอิมพิเรียลสำโรง และ BTS อินเตอร์เชนจ์สำโรงเพียง 17 ยูนิตสุดท้าย พิเศษเริ่ม 1.52 ล้านบาท  The KITH PLUS สุขุมวิท 113 คอนโด Low-Rise 8 ชั้นตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท (สำโรงเหนือ 7) เข้า-ออกได้ 2 ทาง จากถนนสุขุมวิทและถนนศรีนครินทร์แหล่งศูนย์รวมธุรกิจย่านสำโรงใกล้ตลาดเอี่ยมเจริญ  อิมพีเรียลเวิลด์ สำโรง ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว พร้อมสวนลอยฟ้าเพียง 5 ยูนิตสุดท้าย พิเศษเริ่ม 1.39 ล้านบาท

THE KITH LITE บางกะดี – ติวานนท์ คอนโด Low-Rise 7 ชั้น โครงการอยู่ติดถนนติวานนท์ฝั่งมุ่งหน้าสวนอุตสาหกรรมบางกะดีตกแต่งครบ พร้อมเฟอร์ฯ เพียง 20 ยูนิตสุดท้าย พิเศษเริ่ม 930,000 บาท THE KITH ติวานนท์ คอนโด Low Rise 7 ชั้นตั้งอยู่ในซอยติวานนท์-ปากเกร็ด 17 ใกล้กับห้าแยกปากเกร็ด ก่อนถึงโรงพยาบาลกรุงไทยตรงข้ามโรงเรียนสวนกุหลาบนนทบุรี ห่างจากแนวรถไฟฟ้าสายสีชมพูในอนาคต(สถานีปากเกร็ด) เพียง 600 เมตร เพียง 6 ยูนิตสุดท้าย พิเศษเริ่ม 1.53 ล้านบาท

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อน กับ LINE @thansettakij

1583313306

“ออริจิ้น” กางแผนก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 2 ปี 63 แตก 6 กลุ่มบริษัทย่อยลุย 6 ประเภทธุรกิจ สมาร์ทคอนโด-ลักชัวรี่คอนโด-บ้านจัดสรร-อสังหาฯในแถบพื้นที่อีอีซี-อสังหาฯที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง-บริการ  หวัง 5 ปีทุกบริษัทในเครือก้าวสู่ระดับท็อป ขณะปี​ 2563​ ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ กว่า 20,000 ล้านบาท โกยยอดขาย 21,500 ล้านบาท และสร้างรายได้ 16,000 ล้านบาท 

 

 

 

 

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ในวาระก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 2 บริษัทได้วางวิสัยทัศน์ระยะยาวในการปรับเปลี่ยนบริษัทให้กลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่สามารถเติบโตไปได้อย่างยั่งยืน พร้อมรับมือทุกสภาวะความเปลี่ยนแปลงของโลก เริ่มต้นจากปี 2563 ที่จะเป็นทศวรรษแห่งการปฏิรูป (The Decade of Transformation) ปฏิรูปองค์กรสู่ลักษณะกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ปรับเปลี่ยนออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โดยแตกบริษัทย่อยออกมา 6 กลุ่มบริษัท เพื่อเดินหน้าใน 6 ประเภทธุรกิจ ประกอบด้วย 1.บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด นำโดย นายเกรียงไกร กรีบงการ ดำเนินธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียมกลุ่มสมาร์ทคอนโด มีแบรนด์หลักคือ ดิ ออริจิ้น (The Origin) 2.บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด นำโดย นายสิริพงศ์ ศรีสว่างวงศ์ ดำเนินธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ มีแบรนด์หลักคือ ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge) และพาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) 3.บริษัท บริทาเนีย จำกัด นำโดย นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ดำเนินธุรกิจพัฒนาบ้านจัดสรร มีแบรนด์หลักคือ บริทาเนีย (Britania)

 

4.บริษัท ออริจิ้น อีอีซี จำกัด นำโดย นายอรุช ช่างทอง ดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในแถบเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) 5.บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด นำโดย นายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม พื้นที่ค้าปลีก สำนักงานให้เช่า โครงการมิกซ์ยูส และ 6.บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ดำเนินธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์สมัยใหม่ครบวงจร

“การปฏิรูปองค์กร หรือ Organization Transform จะทำให้บริษัทมีพอร์ตธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น ช่วยกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ ขณะเดียวกัน ทุกบริษัทย่อยก็จะมีอิสระในการดำเนินงานมากขึ้น มีขั้นตอนในการดำเนินธุรกิจลดลง สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วและรอบทิศทางมากขึ้น รวมถึงสามารถปรับตัวและรับมือปัจจัยภายนอกได้เหมาะสมกับแต่ละประเภทธุรกิจมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน” นายพีระพงศ์ กล่าว
นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า นอกจากการปฏิรูปโครงสร้างองค์กรแล้ว บริษัทได้วางอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโต คือ กลยุทธ์ “Open for Growth, Open Platform” เปิดรับพันธมิตรในหลากหลายรูปแบบมาร่วมเป็นคู่คิด เติมเต็มโนว์ฮาว เพิ่มขีดความสามารถซึ่งกันและกันในการสร้างสรรค์นวัตกรรมในที่อยู่อาศัย พื้นที่เชิงพาณิชย์ และบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ เชื่อมโยงและสร้างความแข็งแกร่งระหว่างหลากหลายประเภทธุรกิจ จนเกิดเป็นระบบนิเวศธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Ecosystem)

“ภาคธุรกิจทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือ หรือ Synergy ทั้งระหว่างประเภทธุรกิจเดียวกันและต่างประเภทธุรกิจกัน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจาก Synergy ก็คือการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด การก้าวข้ามขีดจำกัดดั้งเดิมของตัวเอง วันนี้ออริจิ้นจึงเลือกเดินไปข้างหน้าด้วยเส้นทางที่สอดคล้องกับเทรนด์ของโลก เปิดกว้างสำหรับการเติบโต เปิดโอกาสให้พันธมิตรที่มีศักยภาพและมีวิสัยทัศน์สอดคล้องกัน สามารถมาเชื่อมต่อหรือ Plug-in กับ Open Platform ในทุกกลุ่มธุรกิจในเครือของเรา โมเดลนี้จะทำให้เราสเกลธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง และนำพาออริจิ้นสู่การเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด หรือ Infinite Growth” นายพีระพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ ตัวอย่างกลุ่มที่บริษัทเปิดรับมาร่วมเป็นพันธมิตร เช่น กลุ่มพันธมิตรร่วมทุน (JV Partner), กลุ่มเจ้าของที่ดิน (Land Owner), กลุ่มผู้พัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการบริการและอสังหาริมทรัพย์ (Service & Property Related Tech), กลุ่มซัพพลายเออร์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ล่าสุด บริษัทกำลังอยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุนกับพันธมิตรใหม่หลากหลายสัญชาติมากขึ้น คาดว่าจะเปิดเผยรายละเอียดความร่วมมืออย่างเป็นทางการได้เร็วๆ นี้ สำหรับผู้สนใจร่วมเป็นพันธมิตรกับเครือออริจิ้น

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ช่วง 5 ปีแรกของทศวรรษที่ 2 ของออริจิ้น จะเป็นช่วงผลักดันให้ทุกบริษัทในเครือสามารถเติบโตไปจนถึงระดับท็อปของประเภทธุรกิจนั้นๆ โดยมีแผนดำเนินธุรกิจใหม่ๆ หลากหลายเรื่อง อาทิ การพัฒนาแบรนด์บ้านจัดสรรระดับลักชัวรี่ เบลกราเวีย (Belgravia) ขึ้นในปี 2563 เพื่อเจาะตลาดผู้ต้องการบ้านหรูระดับ 10-35 ล้านบาท รวมถึงการกระจายการพัฒนาโครงการไปยังจังหวัดเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ นครปฐม สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี  ระยอง หลังจากสามารถทำให้ทุกบริษัทในเครือก้าวขึ้นสู่ระดับท็อปแล้ว บริษัทอาจพิจารณาการลงทุนในกลุ่มประเภทธุรกิจใหม่ๆ ที่ไม่ใช่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ (Beyond Property) ต่อไป

สำหรับแผนธุรกิจในปี 2563 บริษัทจะให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างภายในองค์กร สร้างรากฐานการเติบโตของทุกประเภทธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งปรับแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจัยภายนอก จึงจะเปิดตัวโครงการใหม่ในกลุ่มที่อยู่อาศัยทั้งสิ้น 14 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการกลุ่มสมาร์ทคอนโดมิเนียม แบรนด์ดิ ออริจิ้น 2 โครงการ มูลค่ารวม 4,200 ล้านบาท โครงการกลุ่มลักชัวรี่คอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่ารวม 2,300 ล้านบาท โครงการกลุ่มบ้านจัดสรร10 โครงการ มูลค่ารวม 12,100 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งแบรนด์บริทาเนีย และแบรนด์ใหม่ 3 แบรนด์ ได้แก่ แกรนด์บริทาเนีย ไบรตัน และเบลกราเวีย โครงการกลุ่มอีอีซี 1 โครงการ มูลค่ารวม 1,400 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์เดอะ แฮมป์ตัน (The Hampton) ในศรีราชา

ขณะเดียวกัน บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ทั้งสิ้น 21,500 ล้านบาท และสร้างรายได้รวมได้ทั้งสิ้น 16,000 ล้านบาท โดยมาจากทั้งธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย ธุรกิจบริการ และธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ในปีนี้เป็นปีแรก

1583296061
การรถไฟฯ เผยความคืบหน้าโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา – ชุมทางถนนจิระ เดือนก.พ.พบ สร้างเร็วกว่าแผนงานที่วางไว้ คาดเปิดบริการในปี 65  

นายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ถึงความคืบหน้าโครงการ สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ เป็นโครงการพัฒนารถไฟทางคู่ใหม่ แนวเส้นทางรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ มีระยะทางรวม 132 กิโลเมตร รวมงบประมาณการก่อสร้างทั้งสิ้น 29,968.62 ล้านบาท โดยการรถไฟฯ ได้ว่าจ้างบริษัทอิตาเลี่ยนไทย ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-อาร์ที เป็นผู้รับจ้างดำเนินงาน

สำหรับภาพรวมการก่อสร้างในปัจจุบัน โดยตามแผนงานกำหนดไว้ ร้อยละ 40.23  แต่มีความคืบหน้าร้อยละ 41.42  ซึ่งสามารถก่อสร้างได้เร็วกว่าแผนงาน ร้อยละ 1.19 ของโครงการ มีการก่อสร้างแบ่งออกเป็น 3 สัญญา คือสัญญาที่ 1 ช่วงมาบกะเบา – คลองขนานจิตร งบประมาณก่อสร้าง 7,560,000,000 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 48 เดือน

แผนงานกำหนดไว้ ร้อยละ 56.71 ความคืบหน้าผลงาน ร้อยละ 59.35 เร็วกว่าแผน ร้อยละ 2.64 สัญญาที่ 2 ช่วงคลองขนานจิตร– ชุมทางถนนจิระ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการพิจารณาอนุมัติจาก ครม. ส่วนสัญญาที่ 3 งานอุโมงค์รถไฟ งบประมาณก่อสร้าง 9,290,000,000 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 42 เดือน แผนงานกำหนดไว้ ร้อยละ 33.598 ความคืบหน้าผลงาน 31.969 ล่าช้ากว่าแผน ร้อยละ 1.629  อย่างไรก็ตาม การรถไฟฯ ได้เร่งดำเนินการก่อสร้างเพื่อให้แล้วเสร็จตามแผนงาน และพร้อมเปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2565

 

ดังนั้น หากโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จจะสามารถรองรับขบวนรถเพิ่มขึ้นได้ไม่น้อยกว่า 2 เท่าตัว ทำให้มีความปลอดภัยในการขนส่งผู้โดยสาร และสินค้าเพิ่มขึ้น สามารถเพิ่มความรวดเร็วและความตรงต่อเวลา ในการเดินขบวนรถไฟได้อีกด้วย

อีกทั้งประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงที่ใช้ในภาคการขนส่งของประเทศ ลดปัญหามลพิษที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย มีโครงการที่จะพัฒนาทางคู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมพื้นฐานอื่น ๆ เน้นการบริหารจัดการขนส่งผู้โดยสาร และสินค้า

ทั้งในพื้นที่ชนบท เมือง และระหว่างประเทศเข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง เป็นการแก้ไขปัญหาจุดตัดทางรถไฟโดยใช้แนวทางการก่อสร้างสะพานรถยนต์ข้ามทางรถไฟ (Overpass) หรือทางลอดใต้ทางรถไฟ (Underpass) ช่วยเพิ่มความเร็วและความปลอดภัยในการเดินทางด้วยรถไฟ สามารถแก้ไขปัญหาจราจรที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และที่สำคัญจะเป็นการลดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางรถไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ทั้งนี้โครงการดังกล่าวเป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 ได้พิจารณาเห็นชอบแนวทาง การพัฒนาระบบขนส่งทางราง และมอบหมายให้การรถไฟแห่งประเทศไทย เร่งดำเนินการศึกษาและออกแบบโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางที่มีความถี่ในการเดินรถสูง และต้องจอดรอเพื่อหลีกรถเป็นระยะเวลานาน

โดยโครงการรถไฟทางคู่ ได้รับการบรรจุไว้ในแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ในระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2553-2557 ภายหลังจากนั้นกระทรวงคมนาคมได้เสนอ แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558-2565 ซึ่งรวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งทางราง

ที่ให้ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานรถไฟทางคู่ในเส้นทางรถไฟเดิมช่วงที่มีปัญหาความคับคั่งของการเดินรถ เพื่อใช้ในการขนส่งสินค้าและสำหรับขบวนรถไฟท้องถิ่น โดยโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ เป็น 1 ใน 5 เส้นทางรถไฟที่อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ประกอบด้วยโครงการ 20 โครงการ วงเงินลงทุนรวม 1,796,385.77 ล้านบาท

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อน กับ LINE @thansettakij